12 กุมภาพันธ์ 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตามที่ได้มีเพจดัง นำเสนอข่าวว่า มีการแอบสวมทำบัตรประจำตัวประชาชนของชาวบ้าน พอเจ้าของบัตรตัวจริงโผล่ไปทำธุรกรรมไม่สามารถทำได้ จึงร้องเรียนเพจดังกล่าว ทีมงานออกตามค้นหาความจริง จนทราบว่า เป็นพระรูปหนึ่งไปยื่นขอทำบัตรประจำตัวประชาชน ที่ฝ่ายทะเบียนและบัตร อำเภอเบญจลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ อ้างว่าบัตรเดิมหาย โดยมีเจ้าอาวาสวัดไปรับรองว่าอาศัยอยู่ที่วัดจริง สืบจนทราบว่าวัดดังกล่าวคือวัดหนองเลิง หมู่ 6 ตำบลเสียว อำเภอเบญจลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ
เมื่อบ่ายวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2565 ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปพบกับนายอุดมศักดิ์ นวลศิริ นายอำเภอเบญจลักษ์ ซึ่งนายอุดมศักดิ์ เล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังว่า ได้รับแจ้งจากฝ่ายทะเบียน อ.กระสังข์ จ.บุรีรัมย์ โดยผ่านทางโทรศัพท์ ขอความร่วมมือในการตรวจสอบข้อมูลบุคคล โดยแจ้งว่า มีผู้แอบอ้างสวมตัวทำบัตรประชาชน เนื่องจากมีประชาชนไปติดต่อที่สำนักทะเบียน อำเภอกระสัง แล้วไม่สามารถทำธุรกรรมได้ นายทะเบียนตรวจสอบฐานข้อมูลแล้วพบว่า บุคคลที่ได้ถ่ายทำบัตรประจำตัวประชาชนใบหน้าไม่ตรงกันจึงขอความร่วมมือมา ทางฝ่ายทะเบียนอำเภอเบญจลักษ์เราก็ทำการตรวจสอบพบว่า ต้นเรื่องนี้เกิดตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2564 มีผู้มาขอแจ้งย้ายปลายทางโดยอัตโนมัติแล้วยื่นทำบัตรประจำตัวประชาชน
โดยเจ้าตัวที่มายื่นเรื่อง แต่งตัวเป็นพระ ชื่อพระวิโรจน์ ทรงศรี เจ้าหน้าที่เราก็ทำการตามระเบียบและเปลี่ยนคำนำหน้านาม จากนายเป็นพระ ขอทำบัตรประชาชนมีเอกสาร มีหนังสือสุทธิพระมาพร้อม โดยมีเจ้าอาวาสมารับรอง เจ้าหน้าที่เราก็ตรวจสอบเอกสารหลักฐาน ใบหน้าในข้อมูลทะเบียนบุคคล และใบหน้าผู้ที่มายื่นขอทำบัตร แต่จะดูยากนิดหนึ่ง เพราะผู้มายื่นเป็นพระโกนผมโกนคิ้ว ส่วนรูปในทะเบียนบุคคลเป็นประชาชนชาวบ้าน ดูก็คล้ายกันจึงได้ดำเนินการออกบัตรให้ พอมาทราบเรื่องจากทางอำเภอกระสังแล้วน่าเชื่อว่า น่าจะมีการสวมบัตรประชาชนจริง จึงได้สั่งให้ตรวจสอบเรื่องราวรีบรายงานไปทางจังหวัดและรายงานไปสำนักทะเบียนกลาง พร้อมกับรวบรวมเอกสารหลักฐานเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนไปแล้ว นายอุดมศักดิ์ กล่าว
หลังจากนั้น ผู้สื่อข่าวจึงเดินทางไปที่วัดหนองเลิง เลขที่ 79 หมู่ 6 ตำบลเสียว อำเภอเบญจลักษ์ เพื่อที่จะไปพบกับพระวิโรจน์ ทรงศรี แต่พระวิโรจน์ไม่อยู่ พบเพียง พระอธิการ ธนพล มหาปัญโญ เจ้าอาวาสวัดหนองเลิง ซึ่งให้การว่าตนเองเป็นผู้ที่ไปรับรองในการถ่ายบัตรประชาชนให้พระวิโรจน์จริง แต่พระวิโรจน์ได้ไปจำพรรษาอยู่วัดคล้อเกษศิริ ตำบลน้ำอ้อม อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ จึงตามไปที่วัดดังกล่าว ได้พบกับพระครูพิมล จันทวโรภาส เจ้าอาวาสวัดคล้อเกษศิริ ท่านให้การว่า พระวิโรจน์มาจำพรรษาอยู่ที่วัดนี้ ตั้งแต่วันเข้าพรรษา อยู่จนกระทั่งถึงเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2565 พอรู้ว่ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ท่านถูกตำรวจเรียกไปสอบปากคำ จึงได้เดินทางออกจากวัดไป โดยมีโยมในหมู่บ้านนำรถมารับบอกว่าจะไปบ้านที่จังหวัดบุรีรัมย์ ไปเตรียมเอกสารหลักฐานต่างๆ เพื่อมาแสดงให้กับตำรวจ และทางอำเภอต่อไป
อย่างไรก็ตาม ในเรื่องนี้ ผู้ที่ใกล้ชิดกับพระวิโรจน์ แสดงความคิดเป็นว่า เชื่อว่า พระวิโรจน์น่าจะหนีหายไปเลย ไม่กลับมาที่ศรีสะเกษอีกต่อไปอย่างแน่นอน